
โรคสมาธิสั้น (ADHD) อาการ สาเหตุ และการรักษา
“เด็กสมาธิสั้น” หรือ “ADHD” แต่หลายท่านอาจยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าโรคนี้คืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร และมีวิธีรักษาอย่างไร บทความนี้จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่และผู้ปกครองเข้าใจเกี่ยวกับโรคสมาธิสั้นได้อย่างครอบคลุม
โรคสมาธิสั้น คืออะไร
โรคสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder หรือ ADHD) เป็นความผิดปกติทางพัฒนาการและระบบประสาทที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของเด็ก โดยเฉพาะด้านการเรียน การเข้าสังคม และการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เด็กที่มีภาวะนี้มักมีปัญหาในการควบคุมความสนใจ พฤติกรรม และระดับการเคลื่อนไหว
“สมาธิสั้น” เกิดจากอะไร สาเหตุโรคสมาธิสั้น
สาเหตุของโรคสมาธิสั้นมีความซับซ้อนและมักเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน การเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงจะช่วยให้การดูแลและรักษาเด็กเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ปัจจัยทางพันธุกรรม
การศึกษาพบว่าโรคสมาธิสั้นสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ หากพ่อหรือแม่มีประวัติเป็นโรคสมาธิสั้น โอกาสที่ลูกจะเป็นสูงถึง 40-60% - ปัจจัยทางชีวภาพ
ความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง โดยเฉพาะโดปามีนและนอร์อีพิเนฟริน ส่งผลต่อการทำงานของสมองส่วนที่ควบคุมความตั้งใจและการยับยั้งพฤติกรรม - ปัจจัยระหว่างการตั้งครรภ์และการคลอด
ปัญหาระหว่างการตั้งครรภ์ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ การได้รับสารพิษ หรือการคลอดก่อนกำหนด อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมาธิสั้นในเด็ก - ปัจจัยสิ่งแวดล้อม
การได้รับสารพิษจากสิ่งแวดล้อม เช่น สารตะกั่ว หรือสารเคมีในสิ่งแวดล้อม อาจส่งผลต่อการพัฒนาสมองและก่อให้เกิดอาการสมาธิสั้นได้ - การเลี้ยงดู
แม้การเลี้ยงดูไม่ใช่สาเหตุโดยตรงของโรคสมาธิสั้น แต่สภาพแวดล้อมที่วุ่นวาย ขาดระเบียบวินัย หรือขาดการดูแลอย่างเหมาะสม อาจทำให้อาการรุนแรงขึ้นได้
อ่านเพิ่มเติม

อาการเด็กสมาธิสั้นที่พ่อแม่ควรสังเกต
โรคสมาธิสั้นแสดงออกผ่านอาการหลัก 3 กลุ่ม ได้แก่ อาการขาดสมาธิ อาการซน/อยู่ไม่นิ่ง และอาการหุนหันพลันแล่น โดยเด็กแต่ละคนอาจแสดงอาการในแต่ละกลุ่มแตกต่างกันไป
1. อาการขาดสมาธิ
- วอกแวกง่าย ไม่สามารถจดจ่อกับกิจกรรมหนึ่งได้นาน
- ทำงานไม่เสร็จ หรือขาดความละเอียดรอบคอบ
- ดูเหมือนไม่ฟังเวลาคนอื่นพูดด้วย
- มักทำของหาย ลืมของ หรือลืมทำสิ่งที่ได้รับมอบหมาย
- หลีกเลี่ยงงานที่ต้องใช้ความพยายามทางความคิด
- มีปัญหาในการจัดระเบียบงานหรือกิจกรรม
2. อาการซนอยู่ไม่นิ่ง (Hyperactivity)
- อาการ hyper คือ ขยับตัวตลอดเวลา เช่น ดิ้น นั่งไม่ติดเก้าอี้ วิ่งหรือปีนป่ายในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม
- พูดมาก พูดเร็ว หรือพูดไม่หยุด
- ไม่สามารถเล่นเงียบๆ ได้ หรือทำกิจกรรมในยามว่างอย่างสงบ
- มักจะอยู่ในสภาวะ “เครื่องยนต์กำลังทำงาน” ตลอดเวลา
- มีพลังงานมากเกินไป ราวกับมี “มอเตอร์” ขับเคลื่อนอยู่ภายใน
3. อาการหุนหันพลันแล่น (Impulsivity)
- พูดแทรกคนอื่นบ่อยๆ หรือตอบคำถามก่อนที่คำถามจะจบ
- ทำอะไรก่อนคิด ไม่สามารถรอคอยได้
- แย่งของหรือแทรกคิวผู้อื่น
- ตัดสินใจเร็วเกินไปโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา
- วู่วาม อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย
การวินิจฉัยโรคสมาธิสั้น
การวินิจฉัยโรคสมาธิสั้นที่ถูกต้องต้องอาศัยการประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น หรือกุมารแพทย์ด้านพัฒนาการ โดยทั่วไปจะต้องมีอาการดังกล่าวอย่างน้อย 6 ข้อจากแต่ละกลุ่มอาการ และอาการต้องปรากฏก่อนอายุ 12 ปี เป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน และส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ การประเมินมักจะรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่ง ทั้งจากพ่อแม่ ครู แบบประเมินพฤติกรรม และการสังเกตเด็กโดยตรง เพื่อให้ได้ผลการวินิจฉัยที่แม่นยำ
อ่านเพิ่มเติม
รอคิว “ตรวจสมาธิสั้น” ทำอย่างไรไม่ให้ลูกเสียโอกาสพัฒนา? นาน!
วิธีการ “รักษา เด็กสมาธิสั้น”
การรักษาโรคสมาธิสั้นนั้นมีหลายวิธี ซึ่งมักจะต้องใช้วิธีการที่หลากหลายร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด สำหรับการรักษาเด็กที่มีอาการสมาธิสั้นนั้นสามารถแบ่งออกเป็น 3 วิธีหลัก ได้แก่ การรักษาด้วยยา การบำบัดทางจิตวิทยา และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
1. การรักษาด้วยยา ยาที่ใช้ในการรักษาโรคสมาธิสั้นมักจะเป็นยากระตุ้นระบบประสาท เช่น เมทิลเฟนิเดต (Methylphenidate) และอัมเฟตามีน (Amphetamines) ซึ่งช่วยเพิ่มระดับสารสื่อประสาทในสมอง ทำให้เด็กสามารถควบคุมความสนใจและพฤติกรรมได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
2. การบำบัดทางจิตวิทยา การบำบัดทางจิตวิทยา เช่น การบำบัดพฤติกรรม (Behavior Therapy) หรือการบำบัดด้วยการพูด (Talk Therapy) สามารถช่วยให้เด็กเรียนรู้วิธีการจัดการกับอารมณ์และพฤติกรรมของตนเองได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ปกครองเข้าใจและสามารถสนับสนุนเด็กได้อย่างเหมาะสม
3. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับเด็กที่มีสมาธิสั้น เช่น การจัดตารางเวลาให้ชัดเจน การใช้เทคนิคการให้รางวัลเมื่อเด็กทำตามกฎ หรือการลดสิ่งรบกวนในสภาพแวดล้อม สามารถช่วยให้เด็กมีสมาธิและทำกิจกรรมต่างๆ ได้ดีขึ้น
การดูแลเด็กที่มีอาการสมาธิสั้นนั้นต้องการความเข้าใจและความอดทนจากผู้ปกครอง การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและการสื่อสารที่เปิดเผยจะช่วยให้เด็กมีความมั่นใจและสามารถพัฒนาทักษะต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ การทำงานร่วมกับครูและผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาเพื่อสร้างแผนการเรียนรู้ที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เด็กสามารถเรียนรู้และเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สุดท้ายนี้ การให้ความรักและการสนับสนุนจากครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการช่วยให้เด็กที่มีสมาธิสั้นสามารถเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ในชีวิตได้อย่างมั่นใจและมีความสุข

หากเด็กที่มี อาการสมาธิสั้น (ADHD) ได้รับการรักษาด้วยยาแล้วแต่ยังไม่เห็นผลดีขึ้น รักษาด้วยกิจกรรมทางเลือก “ฝึกสมอง”
การฝึกสมอง เป็นกิจกรรมที่สามารถช่วยเด็กที่มีอาการสมาธิสั้น (ADHD) ได้ โดยการฝึกสมองสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การเล่นเกมที่ต้องใช้สมาธิ การทำกิจกรรมที่กระตุ้นการคิดสร้างสรรค์ หรือการฝึกสมาธิผ่านการทำโยคะหรือการหายใจลึกๆ ซึ่งจะช่วยให้เด็กสามารถควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ การสร้างกิจกรรมที่มีความท้าทายและสนุกสนานจะช่วยให้เด็กมีความสนใจและมีสมาธิมากขึ้นในการทำกิจกรรมต่างๆ ควรมีการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละคนด้วย

สรุป
โรคสมาธิสั้นเป็นความผิดปกติทางระบบประสาทที่พบได้บ่อยในเด็ก สามารถจัดการอาการได้ด้วยการรักษาที่เหมาะสม การเข้าใจธรรมชาติของโรค การวินิจฉัยที่ถูกต้อง การสนับสนุนที่เหมาะสมจากครอบครัวและผู้เชี่ยวชาจะช่วยให้เด็กสมาธิสั้นสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่
สิ่งสำคัญที่สุดคือ อย่ามองว่าโรคสมาธิสั้นเป็นข้อจำกัด แต่ให้มองว่าเป็นความแตกต่างในการเรียนรู้และการมีปฏิสัมพันธ์กับโลก เด็กสมาธิสั้นมักมีความคิดสร้างสรรค์ มีพลังงานสูง และมีมุมมองที่แตกต่าง ซึ่งสามารถเป็นจุดแข็งได้หากได้รับการส่งเสริมอย่างเหมาะสม