
วิธีสังเกตและรักษา เด็กโรคสมาธิสั้น
โรคสมาธิสั้น (ADHD) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในเด็ก และมักส่งผลต่อพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก ดังนั้น การสังเกตอาการของลูกตั้งแต่เนิ่นๆ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อที่จะได้เข้ารับการรักษาที่เหมาะสม
สารบัญ
- อาการหลักของโรคสมาธิสั้น
- วิธีรับมือเมื่อลูกเป็นโรคสมาธิสั้น (ADHD)
- สิ่งที่ควรทำเมื่อลูกเป็นสมาธิสั้น
- การรักษาโรคสมาธิสั้น
อาการหลักของโรคสมาธิสั้น
อาการแบ่งออกเป็น 2 ด้านหลักๆ คือ
1. อาการขาดสมาธิ (Inattention)
- ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นาน: ลูกอาจมีปัญหาในการทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิ เช่น การฟังครูสอน การทำการบ้าน หรือการเล่นเกมที่ต้องใช้ความคิด
- ง่ายต่อการวอกแวก: สิ่งรอบตัวเล็กๆ น้อยๆ อาจดึงความสนใจของลูกไปได้ง่าย ทำให้ลูกไม่สามารถโฟกัสกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ได้
- ลืมสิ่งของบ่อยครั้ง: ลูกอาจลืมกุญแจ โทรศัพท์ หรือหนังสือเรียนบ่อยครั้ง
- ขาดความระมัดระวัง: ลูกอาจทำของแตกหักเสียหายบ่อยๆ หรือทำผิดพลาดในการทำงานที่ต้องใช้ความละเอียด
- มีปัญหาในการจัดระเบียบ: ห้องนอนหรือกระเป๋าของลูกอาจรกและไม่เป็นระเบียบ
งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าเด็กที่มีอาการขาดสมาธิมักมีปัญหาในการจดจ่อกับงานหรือกิจกรรมที่ต้องใช้ความพยายามทางจิตใจเป็นเวลานาน เช่น
Barkley (1997) ระบุว่าเด็ก ADHD มีความยากลำบากในการควบคุมความสนใจ (sustained attention) และมักหลุดโฟกัสเมื่อต้องทำงานที่ซับซ้อนหรือน่าเบื่อ
Willcutt et al. (2012) พบว่าเด็กที่มีอาการขาดสมาธิมักมีปัญหาด้านการเรียน การจัดระเบียบ และการทำงานตามขั้นตอน
2. อาการขาดความสามารถในการควบคุมตนเอง (Hyperactivity and Impulsivity)
- ซุกซนอยู่ไม่นิ่ง: ลูกอาจวิ่งเล่น กระโดด หรือปีนป่ายตลอดเวลา
- พูดมากเกินไป: ลูกอาจพูดแทรกหรือพูดไม่หยุด
- ใจร้อน วู่วาม: ลูกอาจทำอะไรโดยไม่คิดก่อน หรือตัดสินใจอะไรโดยไม่รอบคอบ
- มีปัญหาในการรอคอย: ลูกอาจรอคอยอะไรไม่ค่อยได้ และมักจะใจร้อนอยากได้อะไรทันที
- ขาดความอดทน: ลูกอาจเลิกทำกิจกรรมที่ต้องใช้เวลาและความพยายาม
นอกจากอาการหลักทั้ง 2 ด้านแล้ว เด็กที่มีโรคสมาธิสั้นยังอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น
- มีอารมณ์แปรปรวนง่าย
- มีปัญหาในการเข้าสังคม
- ขาดความมั่นใจในตนเอง
งานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่าเด็กที่มีอาการ hyperactivity และ impulsivity มักแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับวัย เช่น
American Psychiatric Association (APA, 2013) ระบุว่า hyperactivity ในเด็ก ADHD มักแสดงออกผ่านการเคลื่อนไหวร่างกายมากเกินไป (เช่น นั่งไม่นิ่ง วิ่งไปมา) และ impulsivity มักเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจโดยไม่คิดก่อน
Nigg (2006) พบว่า impulsivity ในเด็ก ADHD สัมพันธ์กับความบกพร่องในการควบคุมตนเอง (self-regulation) ซึ่งส่งผลให้เด็กมีปัญหาในการรอคอยหรือทำตามกฎเกณฑ์

วิธีรับมือเมื่อลูกเป็นต่อโรคสมาธิสั้น (ADHD)
เมื่อรู้ว่าลูกมีความเสี่ยงต่อโรคสมาธิสั้น (ADHD) การรับมืออย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยให้ลูกสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุข นี่คือขั้นตอนและแนวทางในการรับมือ ดังนี้
1. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
พบแพทย์หรือจิตแพทย์เด็ก เพื่อประเมินอาการและวินิจฉัยอย่างถูกต้อง หรือพบนักจิตวิทยา เพื่อประเมินพัฒนาการและให้คำแนะนำในการปรับพฤติกรรม
2. ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ADHD
ศึกษาข้อมูล ทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการ สาเหตุ และวิธีการรักษา และเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุน เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้ปกครองคนอื่นๆ
3. ปรับสภาพแวดล้อมที่บ้าน
สร้างโครงสร้างและกิจวัตร: ช่วยให้ลูกรู้ว่าต้องทำอะไรในเวลาใด ลดสิ่งรบกวน จัดพื้นที่สงบสำหรับการเรียนและการทำงาน และใช้เครื่องมือช่วยจัดระเบียบ: เช่น ปฏิทิน, รายการสิ่งที่ต้องทำ
4. ส่งเสริมพฤติกรรมเชิงบวก
ให้คำชมเชย เมื่อลูกทำสิ่งที่ดีหรือพยายาม และตั้งกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน ให้ผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอเมื่อทำตามหรือไม่ทำตามกฎ
5. ทำงานร่วมกับโรงเรียน
สื่อสารกับครู เพื่อให้ครูเข้าใจและสนับสนุนลูกในห้องเรียน ขอแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) หากจำเป็น เพื่อให้ลูกได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะสม
6. ฝึกทักษะการจัดการตนเอง
สอนทักษะการจัดการเวลา เช่น การแบ่งงานใหญ่เป็นงานเล็กๆ ฝึกทักษะทางสังคม เพื่อช่วยให้ลูกสื่อสารและเข้ากับผู้อื่นได้ดีขึ้น
7. ดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจ
ส่งเสริมการออกกำลังกาย ช่วยลดอาการ hyperactivity และเพิ่มสมาธิ ดูแลอาหารการกิน: อาหารที่มีประโยชน์สามารถช่วยในการจัดการอาการได้
8. ดูแลตัวเอง
หาความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น อย่าลืมดูแลสุขภาพจิตของตัวเองด้วย หาเวลาพักผ่อน เพื่อให้มีพลังงานและความอดทนในการดูแลลูก
9. พิจารณาการรักษาทางการแพทย์
การใช้ยา หากแพทย์แนะนำ การใช้ยาสามารถช่วยควบคุมอาการได้ การบำบัดพฤติกรรม เพื่อช่วยปรับพฤติกรรมและพัฒนาทักษะการจัดการตนเอง
10. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูก
ใช้เวลาคุณภาพร่วมกัน เพื่อสร้างความไว้วางใจและความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง ฟังและเข้าใจความรู้สึกของลูก เพื่อให้ลูกรู้ว่าคุณอยู่ข้างๆเขาเสมอ
สิ่งที่ควรทำเมื่อลูกเป็นสมาธิสั้น
- บันทึกพฤติกรรมของลูก การบันทึกพฤติกรรมของลูกจะช่วยให้คุณและแพทย์เห็นภาพรวมของปัญหาได้ชัดเจนขึ้น
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ พูดคุยกับครู พยาบาล หรือจิตแพทย์เด็ก เพื่อขอคำแนะนำ
- ให้กำลังใจลูก สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและให้กำลังใจลูกเสมอ

การรักษาโรคสมาธิสั้น
การรักษาสมาธิสั้นมีหลายวิธี โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้เด็กสามารถควบคุมสมาธิ พฤติกรรม และการเรียนรู้ของตนเองได้ดีขึ้น วิธีการรักษาที่ใช้กันทั่วไปมีดังนี้
1. การใช้ยา
ยาที่ใช้กระตุ้นประสาท: เป็นยาที่ออกฤทธิ์กระตุ้นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับสมาธิและความสนใจ ช่วยให้เด็กมีสมาธิจดจ่อได้นานขึ้น ลดความหุนหันพลันแล่น และพฤติกรรมอยู่ไม่นิ่ง
ยาที่ไม่ใช้กระตุ้นประสาท: เป็นยาที่ออกฤทธิ์แตกต่างจากยากลุ่มแรก ใช้ในกรณีที่เด็กไม่สามารถใช้ยาที่ใช้กระตุ้นประสาทได้ หรือมีผลข้างเคียงจากยา
2. การปรับพฤติกรรม
การฝึกทักษะทางสังคมสอนให้เด็กรู้จักการเข้าสังคม การสื่อสาร การแบ่งปัน และการรอคอย
และ การฝึกทักษะการจัดการตนเอง สอนให้เด็กรู้จักการควบคุมอารมณ์ การจัดการเวลา และการวางแผน
3. การสนับสนุนจากครอบครัวและโรงเรียน
การสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม: จัดบ้านและห้องเรียนให้เป็นระเบียบ ไม่มีสิ่งรบกวน และมีตารางเวลาที่ชัดเจน รวมทั้งการให้กำลังใจ: ให้กำลังใจและชมเชยเมื่อเด็กทำได้ดี และการสื่อสาร พูดคุยกับเด็กอย่างเปิดเผย รับฟังปัญหา และให้คำแนะนำ
4. การรักษาอื่นๆ
การทำกิจกรรมบำบัด เช่น การเล่นดนตรี การวาดรูป หรือการออกกำลังกาย เพื่อช่วยให้เด็กผ่อนคลายและมีสมาธิมากขึ้น

สิ่งสำคัญเลย คือ
- การรักษาสมาธิสั้นต้องใช้เวลาและความอดทน
- การรักษาแต่ละวิธีอาจได้ผลแตกต่างกันในเด็กแต่ละคน
- การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
สรุป การรับมือกับ ADHD ต้องใช้ความอดทนและความเข้าใจ การสนับสนุนจากครอบครัวและผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้ลูกสามารถจัดการกับอาการและใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จ
อาการของโรคสมาธิสั้นอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และอาการบางอย่างอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ได้ ดังนั้น การวินิจฉัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงมีความสำคัญ