สาเหตุ ลูกเรียนไม่เก่ง ปัญหาการเรียนรู้

ลูกเรียนไม่เก่ง? อาจเป็นเพราะ 5 โรคนี้ ที่ส่งผลต่อ ปัญหาการเรียนรู้

พ่อแม่หลายคนอาจเคยสงสัยว่า “ทำไม? ลูกเรียนไม่เก่ง ” ทั้งที่พยายามสนับสนุนอย่างเต็มที่ อาจเป็นไปได้ว่าลูกของคุณกำลังเผชิญกับภาวะหรือโรคที่ส่งผลต่อ ปัญหาการเรียนรู้ ซึ่งทำให้พวกเขาเรียนรู้ได้ยากกว่าคนทั่วไป

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับ 5 โรคที่อาจเป็น สาเหตุของปัญหาการเรียนรู้ เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจลูกมากขึ้น และหาทางช่วยเหลือให้พวกเขาเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5 โรคที่เป็น สาเหตุของ ปัญหาการเรียนรู้

สรุป

5 โรค เป็นสาเหตุ ปัญหาการเรียนรู้

5 โรคที่เป็น สาเหตุของ ปัญหาการเรียนรู้

1. สมาธิสั้น (ADHD – Attention Deficit Hyperactivity Disorder)

โรคสมาธิสั้น คือ ภาวะทางพัฒนาการทางสมองที่ส่งผลให้เด็กมีปัญหาในการจดจ่อ ควบคุมพฤติกรรม และบริหารจัดการตนเอง ซึ่งอาจส่งผลโดยตรงต่อการเรียนรู้ อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่

  • มีสมาธิสั้น วอกแวกง่าย
  • ลืมสิ่งที่เรียนไปเร็ว
  • ทำงานไม่เป็นระบบ ไม่สามารถทำงานให้เสร็จได้
  • อยู่ไม่นิ่ง พูดหรือขยับตัวตลอดเวลา

พ่อแม่ควรช่วยอย่างไร?

  • จัดตารางเรียนให้เป็นช่วงสั้น ๆ
  • ลดสิ่งรบกวนรอบตัว เช่น ปิดเสียงโทรศัพท์หรือทีวี
  • ใช้วิธีเรียนรู้แบบมีการเคลื่อนไหว เช่น การเรียนรู้ผ่านเกมหรือกิจกรรม

2. ดิสเล็กเซีย (Dyslexia)

ดิสเล็กเซีย คือ ความบกพร่องในการอ่าน ดิสเล็กเซียเป็นความบกพร่องทางการอ่านที่ทำให้เด็กมีปัญหาในการแยกแยะเสียงของตัวอักษรและเชื่อมโยงกับคำพูด ซึ่งส่งผลต่อการอ่านออกเสียงและความเข้าใจเนื้อหา อาการที่พบ ได้แก่

  • อ่านหนังสือได้ช้ากว่าปกติ
  • มักสะกดคำผิดหรือสลับตัวอักษร
  • จำคำศัพท์ใหม่ ๆ ได้ยาก
  • เข้าใจเนื้อหาจากการฟังได้ดีกว่าการอ่าน

พ่อแม่ควรช่วยอย่างไร?

  • ใช้หนังสือเสียงหรือโปรแกรมอ่านออกเสียง (Text-to-Speech)
  • ฝึกอ่านวันละนิด และเลือกหนังสือที่ลูกสนใจ
  • ใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่ และเน้นสีช่วยแยกคำ

3. ดิสกราฟิเซีย (Dysgraphia)

ดิสกราฟิเซีย  คือ ความบกพร่องในการเขียน ดิสกราฟิเซียเป็นภาวะที่ส่งผลต่อความสามารถในการเขียน ทำให้เด็กเขียนหนังสือได้ยากกว่าปกติ ทั้งในด้านลายมือ การสะกดคำ และการจัดระเบียบความคิดบนกระดาษ อาการที่พบบ่อย ได้แก่

  • เขียนตัวหนังสือเบี้ยว ไม่เป็นระเบียบ
  • ใช้แรงกดดินสอมากเกินไป ทำให้เมื่อยมือ
  • มีปัญหาในการสะกดคำและใช้ไวยากรณ์
  • เขียนได้น้อยเมื่อเทียบกับปริมาณความคิดที่ต้องการสื่อ

พ่อแม่ควรช่วยอย่างไร?

  • ให้ลูกฝึกเขียนด้วยดินสอที่จับถนัดมือ
  • ใช้คอมพิวเตอร์หรือแท็บเล็ตแทนการเขียนด้วยมือ
  • ฝึกกล้ามเนื้อมือผ่านกิจกรรม เช่น ต่อบล็อกหรือระบายสี

4. ดิสคัลคูเลีย (Dyscalculia)

ดิสคัลคูเลีย คือ ความบกพร่องในการคำนวณ ดิสคัลคูเลียเป็นภาวะที่ทำให้เด็กมีปัญหาในการเข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับตัวเลขและการคำนวณ ส่งผลให้การเรียนคณิตศาสตร์เป็นเรื่องยาก อาการที่พบ ได้แก่

  • จดจำตัวเลขและสูตรคำนวณได้ยาก
  • คำนวณผิดบ่อย แม้เป็นโจทย์ง่าย ๆ
  • เข้าใจแนวคิดคณิตศาสตร์ช้ากว่าปกติ
  • มีปัญหาในการใช้เงิน เช่น ทอนเงินไม่ถูก

พ่อแม่ควรช่วยอย่างไร?

  • ใช้สื่อการสอนที่เป็นภาพ เช่น ลูกปัด นาฬิกา หรือเกมตัวเลข
  • ใช้แอปพลิเคชันช่วยฝึกคำนวณ
  • ให้ลูกฝึกทำโจทย์คณิตศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน

5. ออทิสติก (Autism Spectrum Disorder – ASD)

ออทิสติก คือ กลุ่มอาการที่ส่งผลต่อการพัฒนาทางสังคม การสื่อสาร และพฤติกรรมของเด็ก เด็กที่อยู่ในกลุ่มนี้มักมีวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างจากเด็กทั่วไป อาการที่พบ ได้แก่

  • เข้าใจภาษาพูดและท่าทางได้ยาก
  • สนใจเฉพาะบางเรื่องมากเป็นพิเศษ
  • มีพฤติกรรมซ้ำ ๆ เช่น โยกตัวไปมา
  • ไวต่อเสียง แสง หรือสิ่งเร้าภายนอก

พ่อแม่ควรช่วยอย่างไร?

  • ปรับสภาพแวดล้อมให้เงียบสงบ ลดสิ่งรบกวน
  • ใช้วิธีการเรียนรู้ที่เป็นขั้นตอนชัดเจน
  • สนับสนุนให้ลูกเรียนรู้ในรูปแบบที่เขาถนัด
GibsonTest_CTAmotion-gif

สรุป

หากลูกของคุณมีปัญหาด้านการเรียน อาจไม่ใช่เพราะ “ขี้เกียจ” หรือ “ไม่ตั้งใจ” แต่อาจเป็นเพราะพวกเขามีภาวะที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ การเข้าใจและให้การสนับสนุนที่ถูกต้องจะช่วยให้พวกเขาเรียนรู้ได้ดีขึ้น นอกจากนี้ การฝึกสมองและพัฒนาทักษะการเรียนรู้ที่ศูนย์ Brain and Life Center อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างศักยภาพของเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ

This will close in 0 seconds