สมาธิสั้นรักษาที่ไหนดี

สมาธิสั้นรักษาที่ไหนดี

สมาธิสั้น (ADHD) เป็นภาวะที่ส่งผลกระทบทั้งด้านสมาธิ การควบคุมตนเอง และพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน โดยอาการสามารถสร้างความท้าทายทั้งกับผู้ที่มีภาวะนี้และคนรอบข้าง การรักษาที่เหมาะสมและทันท่วงทีจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถปรับตัวและใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่

สำหรับการรักษา ADHD มีหลายวิธีขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการและความเหมาะสมของแต่ละบุคคล โดยคำถามที่พบบ่อยคือ “สมาธิสั้นรักษาที่ไหนดี” “โรคสมาธิสั้นรักษาได้ที่ไหน หรือ “ควรเลือกรักษาที่ โรงพยาบาลเด็กสมาธิสั้น หรือ ศูนย์พัฒนาเด็กสมาธิสั้น “ ซึ่งแต่ละทางเลือกมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน

เปรียบเทียบ รักษาโรคสมาธิสั้นที่ไหนดี?

ความแตกต่าง พาลูกไปรักษา สมาธิสั้น ที่ไหนดี
  • โรงพยาบาล : เหมาะสำหรับการวินิจฉัยและรักษาด้วยยา โดยเฉพาะในกรณีที่อาการส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างชัดเจน เช่น การเรียนหรือการทำงาน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยประเมินและปรับการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วย
  • ศูนย์รักษาเด็กสมาธิสั้น : เน้นการบำบัดพฤติกรรม โปรแกรมพัฒนาเด็กสมาธิสั้น และพัฒนาทักษะสมอง เช่น การฝึกสมาธิและการจัดการอารมณ์ เป็นทางเลือกที่ รักษาสมาธิสั้นโดยไม่ใช้ยา ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการการดูแลในระยะยาวและพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน

“Brain and Life” เป็น สถานที่รักษาโรคสมาธิสั้น ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ป่วย ADHD เนื่องจากมีการใช้เทคนิคการ ฝึกสมอง (Brain Training) ที่เน้นการพัฒนาและฟื้นฟูสมองเพื่อปรับปรุงสมาธิและพฤติกรรมโดยไม่พึ่งยา วิธีนี้ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถจัดการกับอาการได้อย่างยั่งยืนและเห็นผลในระยะยาว

ขั้นตอนการรักษา สมาธิสั้น โดยไม่ใช้ยา ที่ Brain and Life

step-brain

แบบประเมิน สมาธิสั้น ADHD เบื้องต้น

การวินิจฉัยว่าเป็นสมาธิสั้น หรือ ADHD (Attention Deficit Hyperactivity Disorder) หรือไม่นั้น ต้องพิจารณาจากเกณฑ์ที่กำหนดในคู่มือการวินิจฉัยโรคทางจิตเวช (DSM-5) โดยทั่วไป ผู้ที่สงสัยว่าเป็น ADHD ต้องมีอาการดังนี้ ลองมาเช็คอาการเบื้องต้นกันดู

กลุ่มอาการไม่ตั้งใจ (Inattention)กลุ่มอาการอยู่ไม่นิ่ง/หุนหันพลันแล่น (Hyperactivity/Impulsivity)
● ไม่ใส่ใจรายละเอียด ทำงานไม่รอบคอบ
● สนใจการเล่นหรือกิจกรรมในระยะเวลาสั้น ๆ
● ไม่มีสมาธิจดจ่อกับคู่สนทนา ไม่ฟังเวลาคนอื่นพูด
● ลืมทำการบ้านหรือไม่เสร็จเพราะล้มเหลวด้านความเข้าใจ
● ต่อต้าน ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ
● มีปัญหาในการจัดการกิจกรรมต่าง ๆ
● หลีกเลี่ยงงานที่ต้องใช้ความพยายาม
● ทำของใช้ที่จำเป็นหาย เช่น ดินสอ หนังสือ
● สิ่งเร้าทำให้เกิดความฟุ้งซ่าน
● ลืมกิจวัตรประจำวัน
● มือหรือเท้าอยู่ไม่สุข โดยเฉพาะเวลานั่งอยู่กับที่
● ลุกจากที่นั่งในชั้นเรียนโดยไม่มีเหตุผล
● วิ่งหรือปีนป่ายมากเกินไป
● ไม่สามารถเล่นหรือทำกิจกรรมที่ต้องอยู่เงียบ ๆ ได้
● ดูลุกลี้ลุกลนเกินกว่าเหตุ
● เล่นแรง เล่นได้ไม่เหนื่อย
● พูดเก่ง พูดเร็ว พูดไม่หยุด
● ชอบพูดขัดจังหวะผู้อื่น
● ถามคำถามแล้วอยากรู้คำตอบทันที ไม่ชอบรอ
● รอคอยไม่ได้ในสถานการณ์ต่าง ๆ
● ฟังคำสั่งแล้วลืมหรือทำตามไม่ได้
● ชอบพูดแทรกหรือขัดจังหวะผู้อื่น

เกณฑ์วินิจฉัยอาการสมาธิสั้นเบื้องต้น

  1. สมาธิสั้น กลุ่มอาการไม่จดจ่อ/ไม่ตั้งใจ (Predominantly Inattentive Presentation)
    • ต้องมีอาการอย่างน้อย 6 ข้อ (สำหรับเด็ก) หรืออย่างน้อย 5 ข้อ (สำหรับผู้ใหญ่) จากเช็คลิสต์ในหมวดกลุ่มอาการไม่ตั้งใจ
    • อาการต้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน
  2. สมาธิสั้น กลุ่มอาการอยู่ไม่นิ่ง/หุนหันพลันแล่น (Predominantly Hyperactive-Impulsive Presentation)
    • ต้องมีอาการอย่างน้อย 6 ข้อ (สำหรับเด็ก) หรืออย่างน้อย 5 ข้อ (สำหรับผู้ใหญ่) จากเช็คลิสต์ในหมวดกลุ่มอาการอยู่ไม่นิ่ง/หุนหันพลันแล่น
    • อาการต้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน
  3. สมาธิสั้นแบบผสม (Combined Presentation)
    • จะมีอาการทั้งหมวดกลุ่มอาการไม่ตั้งใจ และ กลุ่มอาการอยู่ไม่นิ่ง/หุนหันพลันแล่น อย่างน้อยหมวดละ 6 ข้อ (สำหรับเด็ก) หรืออย่างน้อย 5 ข้อ (สำหรับผู้ใหญ่)
    • อาการต้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน

เงื่อนไขเพิ่มเติมสำหรับการวินิจฉัย

  • อาการต้องแสดงออกใน 2 สภาพแวดล้อมขึ้นไป เช่น ที่บ้านและที่โรงเรียน หรือที่ทำงาน
  • อาการต้องส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน เช่น การเรียน การทำงาน หรือความสัมพันธ์กับผู้อื่น
  • อาการต้องไม่เกิดจากโรคหรือภาวะอื่น เช่น ความเครียด โรคซึมเศร้า หรือปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ

หากเข้าข่ายในเกณฑ์ข้างต้น ควรปรึกษาแพทย์ หมอสมาธิสั้นเฉพาะทาง หรือผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชเพื่อประเมินเพิ่มเติมและวินิจฉัยอย่างถูกต้อง

อ่านเพิ่มเติม ลูกซน อยู่ไม่นิ่ง พาลูกไปตรวจสมาธิสั้นที่ไหนดี?

ข้อมูลการรักษาเด็กที่มีภาวะ ADHD

โดยองค์การอนามัยโลกได้ให้ความสำคัญกับปัญหานี้ เนื่องจากหากไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่เด็ก อาจส่งผลต่อการเรียนและพฤติกรรมในระยะยาว

This will close in 0 seconds