ลูกไม่อยากทำการบ้าน? ทำอย่างไรให้ลูกทำการบ้าน
การที่ลูกไม่อยากทำการบ้านหรือหลีกเลี่ยงการทำงานอาจเป็นสัญญาณของปัญหาบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับทักษะสมอง หากลูกของคุณมีพฤติกรรมนี้อยู่บ่อยครั้ง ไม่ใช่แค่ความขี้เกียจธรรมดา แต่อาจมีสาเหตุที่ลึกซึ้งกว่านั้น เช่น ปัญหาทางทักษะการคิดที่ไม่สมวัย ซึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้และการทำงานประจำวัน
หากเรากำลังอยู่ในวัยเรียน สิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ การบ้าน การทำการบ้านช่วยในการพัฒนาทักษะต่าง ๆ เช่น การแก้ปัญหา, การวางแผน, การเขียน, การคิดนอกกรอบ ซึ่งสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันและอาชีพในอนาคต ซึ่งบางครั้งการบ้านมักถูกมองว่ายากมาก สาเหตุที่ทำให้การบ้านดูยากได้ อาจมีทั้ง…
สาเหตุที่ทำให้การบ้านดูยาก
ความยากของเนื้อหา
บางวิชาหรือหัวข้ออาจมีความซับซ้อนและยากมาก เช่นคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ ที่อาจมีสูตรหรือกระบวนการที่ซับซ้อนและไม่สามารถเข้าใจอย่างแท้จริง
ขอบเขตเวลาในการส่งการบ้าน
บางงานอาจมีกำหนดเวลาที่กำหนดให้เสร็จซึ่งอาจทำให้เกิดความกดดันเพิ่มขึ้นและทำให้งานดูยากขึ้น
ความเข้าใจไม่ครบถ้วน
บางครั้งความเข้าใจในความรู้หรือข้อมูลที่ต้องใช้ในการบ้านไม่เพียงพอ อาจทำให้การแก้ไขปัญหาในงานและการเรียนเป็นอุปสรรค
รู้สึกไม่ชอบวิชาที่เรียน
เมื่อผู้เรียนรู้สึกไม่ชอบบางวิชาที่เรียนอาจทำให้รู้สึกไม่เต็มใจและไม่อยากจะทำมัน
ทริคในการเรียนรู้
แต่ละคนจะมีรูปแบบและวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน เช่น การจดบันทึก, การจัดเรียงข้อมูล, การฟัง หรือเรียนรู้จากการลงมือทำจริง
ข้อจำกัดทางสติปัญญา
บางคนอาจมีข้อจำกัดทางสติปัญญาในบางวิชาหรือหัวข้อที่ทำให้งานดูยากขึ้น
ความไม่มั่นใจ
ขาดความมั่นใจในความสามารถของตนเองอาจทำให้การทำงานดูยากขึ้น
เราจะช่วยให้ทำการบ้านทุกวิชาของคุณง่ายขึ้น
สิ่งที่จะช่วยให้การบ้านเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น คือ การสร้างนิสัยและกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับการทำการบ้าน
เราช่วยให้ทำการบ้านเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น
เราจะช่วยฝึกสมองสำหรับทักษะการทำการบ้าน เน้นทักษะทางสมองพื้นฐานที่นักเรียนต้องการสำหรับการเรียนหนังสือ ซึ่งรวมถึงทักษะทางสมองเช่นหน่วยความจำ, การคิด, และทักษะในการรักษาความสนใจ นอกจากการช่วยเรื่องการบ้าน ทักษะเหล่านี้ยังสามารถนำไปใช้ชีวิตประจำวันของนักเรียนตลอดชีวิตได้
โดยเราจะช่วยให้ผู้เรียนพัฒนานิสัยการทำการบ้านที่แข็งแรง จากทักษะที่สำคัญต่างๆ ดังนี้
- ทักษะการอ่าน
- ทักษะการเขียน
- ทักษะทางคณิตศาสตร์
- การจัดระเบียบ
- การบริหารเวลา
- การคิดเชิงสร้างสรรค์ การกำหนดเป้าหมาย
วิเคราะห์ปัญหาทักษะการเรียนรู้ ด้วย Gibson Test
Gibson Test คือการทดสอบที่ช่วยวัดทักษะทางสมองที่สำคัญ ทั้ง 7 ด้าน
1. Processing Speed ทักษะด้านความเร็วในการประมวลผล
2. Working Memory ทักษะด้านความจำขณะทำงาน
3. Long-Term Memory ทักษะด้านความจำระยะยาว
4. Visual Processing ทักษะด้านการรับรู้ทางภาพ
5. Logic and Reasoning ทักษะด้านตรรกะและเหตุผล
6. Auditory Processing ทักษะด้านการรับรู้ทางเสียง
7. Word Attack ทักษะด้านการแแยกแยะคำ ผสมเสียง
ทักษะสมองส่งผลต่อการเรียนอย่างไร?
ทักษะสมองหรือ Cognitive Skills มีบทบาทสำคัญในการทำงานต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน รวมถึงการทำการบ้านของเด็กด้วย หากทักษะสมองไม่สมบูรณ์หรือไม่พัฒนาอย่างเหมาะสม อาจส่งผลให้เด็กประสบปัญหาในการทำการบ้าน ซึ่งมีผลกระทบในด้านต่าง ๆ ดังนี้
ทักษะความจำขณะทำงาน
(Working Memory)
เด็กที่มีปัญหาด้านนี้จะลืมสิ่งที่ต้องทำระหว่างการทำการบ้าน หรือจำไม่ได้ว่าขั้นตอนในการทำการบ้านคืออะไร ทำให้ไม่สามารถทำการบ้านจนสำเร็จได้
ทักษะการประมวลผลข้อมูล
(Processing Speed)
หากทักษะการประมวลผลข้อมูลช้า เด็กจะใช้เวลานานกว่าปกติในการทำการบ้าน และอาจรู้สึกท้อหรือหมดกำลังใจเพราะคิดว่างานยากเกินไป
ทักษะการจดจ่อและสมาธิ
(Attention)
การไม่มีสมาธิหรือจดจ่อกับงานนาน ๆ เป็นปัญหาสำหรับเด็กหลายคน โดยเฉพาะเด็กที่มีปัญหาด้านสมาธิสั้น (ADHD) ทำให้ไม่สามารถทำการบ้านได้อย่างต่อเนื่องหรือนานพอจนเสร็จ
ทักษะการอ่านและการฟัง
(Auditory and Visual Processing)
การไม่สามารถตีความข้อมูลจากเสียงหรือภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การทำการบ้านที่เกี่ยวข้องกับการอ่านหรือการฟังมีความยากขึ้น เช่น การฟังคำสั่งและทำตาม หรือการอ่านคำถามแล้วตอบได้อย่างถูกต้อง
การพัฒนาทักษะสมองที่ดี จะช่วยให้เด็กมีความสามารถในการทำการบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และทำให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างราบรื่น
ฝึกสมองโดยผู้เชี่ยวชาญและรูปแบบการเทรนเฉพาะของ Brain and Life
“ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงหลังได้รับการฝึกสมอง”
หลังจากการฝึกสมองด้วย BrainRX จะเห็นการเปลี่ยนแปลงในการทำการบ้านที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน
- ความจำดีขึ้น เด็กจะสามารถจดจำข้อมูลได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งในการทำการบ้านหรือเนื้อหาที่ต้องใช้ ทำให้สามารถทำการบ้านได้ต่อเนื่องและแม่นยำมากขึ้น
- สมาธิดีขึ้น เด็กจะมีสมาธิและจดจ่อกับการบ้านได้เป็นเวลานานขึ้น ลดการเสียสมาธิจากสิ่งรบกวนรอบข้าง ช่วยให้ทำการบ้านเสร็จเร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพ
- การประมวลผลข้อมูลเร็วขึ้น เด็กจะสามารถประมวลผลข้อมูลได้เร็วขึ้น ทำให้ไม่ต้องใช้เวลานานในการทำการบ้านหรือตอบคำถามที่ซับซ้อน สามารถทำงานได้เร็วและมีความมั่นใจมากขึ้น
- การวางแผนและจัดการงานดีขึ้น เด็กจะมีความสามารถในการจัดลำดับงานและวางแผนการทำการบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ไม่รู้สึกว่างานที่ได้รับยากหรือซับซ้อนจนเกินไป
- ทักษะการอ่านและการเขียนดีขึ้น การฝึกสมองจะช่วยให้การอ่านและการเขียนเป็นไปอย่างราบรื่น เด็กจะเข้าใจคำถามและตอบคำถามได้ดีขึ้นในงานที่เกี่ยวข้องกับการอ่านหรือการเขียน
- ความมั่นใจในตนเองมากขึ้น เมื่อเด็กสามารถทำการบ้านได้สำเร็จและเข้าใจเนื้อหามากขึ้น จะเกิดความมั่นใจในการเรียนและไม่รู้สึกว่าการบ้านเป็นเรื่องยากอีกต่อไป
นอกจากการพัฒนาทักษะทางสมองแล้ว ผู้ฝึกอาจพบว่า ความมั่นใจในการเรียนรู้และการทำงาน ของตนเองเพิ่มขึ้น เนื่องจากสามารถจัดการกับงานหรือปัญหาที่เคยเป็นเรื่องยากได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้การเรียนในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
จากการวิจัยและข้อมูลจากผู้ที่ผ่านการฝึก BrainRx พบว่าผลลัพธ์เหล่านี้มักเห็นได้ภายในไม่กี่เดือนของการฝึก หากฝึกอย่างต่อเนื่อง