มือถือทำให้สมาธิสั้น จริงไหม

มือถือทำให้ลูกสมาธิสั้นจริงไหม? คำตอบที่พ่อแม่ควรรู้

มือถือทำให้ลูกสมาธิสั้นจริงไหม คือคำถามยอดฮิตในยุคที่เด็ก ๆ เข้าถึงหน้าจอได้ตั้งแต่ยังพูดไม่ชัด พ่อแม่หลายคนกังวลว่า การให้ลูกดูมือถือหรือแท็บเล็ตตั้งแต่เล็ก ๆ จะทำให้ลูก “สมาธิสั้น” หรือมีปัญหาด้านพฤติกรรมในอนาคตหรือไม่

บทความนี้จะช่วยไขข้อสงสัย พร้อมแนะแนวทางการใช้เทคโนโลยีอย่างถูกวิธี เพื่อให้ลูกเติบโตอย่างสมดุลในโลกยุคดิจิทัล

มือถือทำให้ลูกสมาธิสั้นจริงหรือไม่?

หลายคนเชื่อว่าการใช้มือถือคือสาเหตุโดยตรงของสมาธิสั้น (ADHD) แต่ในความเป็นจริง สมาธิสั้นเป็นภาวะทางพัฒนาการของสมอง ที่มีปัจจัยหลักมาจากพันธุกรรมและสารสื่อประสาทในสมอง

ถึงแม้มือถือจะไม่ใช่ต้นเหตุโดยตรง แต่ การใช้มือถือหรือหน้าจอมากเกินไป โดยเฉพาะในวัยก่อน 5 ปี อาจกระตุ้นให้เด็กมีพฤติกรรมคล้ายสมาธิสั้น เช่น วอกแวก ขาดการจดจ่อ พูดแทรก ขัดจังหวะ หรือควบคุมอารมณ์ได้ยาก

เด็กควรใช้จอได้นานแค่ไหน ?

การจำกัดเวลาหน้าจอสามารถช่วยป้องกันพฤติกรรมที่คล้ายสมาธิสั้นได้ โดยมีแนวทางจากองค์การกุมารแพทย์แห่งอเมริกา (AAP) ดังนี้:

อายุของเด็กเวลาที่เหมาะสมคำแนะนำเพิ่มเติม
ต่ำกว่า 2 ปีหลีกเลี่ยง (ยกเว้นวิดีโอคอล)เน้นปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่และของเล่นจริง
2–5 ปีไม่เกิน 1 ชั่วโมง/วันดูพร้อมพ่อแม่ + พูดคุยสรุปสิ่งที่ดู
6 ปีขึ้นไปจำกัดเวลาตามบริบทชีวิตควรไม่กระทบการนอน กิจกรรมทางกาย หรือการเรียนรู้

หยุดใช้ “มือถือกล่อมลูก”! เปลี่ยนจอให้เป็นเครื่องมือเสริมพัฒนาการอย่างถูกวิธี

หลายครอบครัวอาจคิดว่า “แค่ให้ลูกดูไม่เกินวันละ 1 ชั่วโมงก็น่าจะพอแล้ว” แต่พฤติกรรมลูกกลับยังดูซุกซน เหม่อลอย หรือขาดสมาธิอยู่ดี

อาจเป็นเพราะสิ่งที่ลูกดูนั้น ไม่มีเป้าหมาย” และถูกใช้เพื่อ “กล่อมให้เงียบ” มากกว่าการส่งเสริมพัฒนาการจริง ๆ

ตัวอย่าง “การใช้เทคโนโลยีอย่างมีเป้าหมาย”

การใช้มือถือหรือแท็บเล็ตกับเด็กไม่ใช่เรื่องผิด แต่สิ่งสำคัญคือ “ดูอะไร” กับ “ดูเพื่ออะไร”

ต่อไปนี้คือตัวอย่าง การใช้จอที่ช่วยเสริมพัฒนาการลูก:

ตัวอย่างการใช้เป้าหมาย/ประโยชน์เหตุผลที่ดี
ดูวิดีโอการ์ตูนสั้นเกี่ยวกับตัวอักษร/คำศัพท์ภาษาอังกฤษ พร้อมพ่อแม่เสริมพัฒนาการด้านภาษาและความจำลูกได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ พร้อมการพูดคุยหลังดู
ใช้แอปเล่านิทานแบบ Interactiveส่งเสริมจินตนาการและการฟังลูกมีส่วนร่วมมากขึ้นกว่าการดูคลิปเฉย ๆ
เล่นแอปจับคู่สี ตัวเลข หรือฝึกสมาธิฝึกสมาธิ การคิดอย่างมีระบบใช้เกมเป็นเครื่องมือฝึกสมองได้
วิดีโอคอลกับปู่ย่าตายายเสริมความสัมพันธ์และอารมณ์พัฒนาทักษะภาษาและการเชื่อมโยงอารมณ์
พูดคุยถาม-ตอบหลังดู เช่น “ลูกเห็นอะไรในคลิปบ้าง?”พัฒนาการคิดวิเคราะห์ฝึกสื่อสารและความจำระยะสั้น

ตัวอย่างการใช้ “เพื่อกล่อมให้เงียบ” ที่ควรหลีกเลี่ยง

ตัวอย่างพฤติกรรมผลกระทบที่เกิดขึ้น
ให้มือถือเวลาร้องไห้ งอแงเด็กเรียนรู้ว่า “ร้อง = ได้จอ” ขาดทักษะควบคุมอารมณ์
เปิด Auto-play YouTube ให้ดูยาว ๆทำลายสมาธิและพัฒนาการทางภาษา
เอามือถือให้ตอนกินข้าวทำให้เด็กกินขาดสติ และติดจอระหว่างมื้ออาหาร

เปรียบเทียบ “เด็กซน” กับ “เด็กสมาธิสั้น” ต่างกันอย่างไร?

การแยกความแตกต่างระหว่าง เด็กซนทั่วไป กับ เด็กสมาธิสั้น (ADHD) ช่วยให้พ่อแม่ประเมินได้ดีขึ้นว่าควรรับมืออย่างไร

ลักษณะเด็กซนทั่วไปเด็กสมาธิสั้น (ADHD)
ระดับความวอกแวกเป็นครั้งคราวต่อเนื่องหลายเดือน
ควบคุมตนเองทำได้เมื่อเตือนควบคุมไม่ได้แม้เตือน
การเล่นกับเพื่อนเล่นได้ตามลำดับขัดจังหวะ/เล่นรุนแรง
การปรับตัวในโรงเรียนปรับตัวได้ถูกครูเรียกบ่อย

หากสงสัยว่าลูกอาจมีสมาธิสั้น ควรพาไปประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักจิตวิทยาเด็ก หรือแพทย์พัฒนาการเด็ก

อ่านต่อ พาลูกไปตรวจสมาธิสั้นที่ไหนดี?

ลูกสมาธิสั้นจริงไหม

ลูกเรามีปัญหาสมาธิสั้นจริงไหม? หรือแค่ “สมองบางด้านยังไม่แข็งแรง”?

พ่อแม่หลายคนอาจเคยสงสัยว่า ลูกของเราสมาธิสั้นหรือเปล่า?” โดยเฉพาะเมื่อเห็นลูกดูไม่ตั้งใจ ฟังแล้วไม่ทำตาม หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ไม่นานก็เบื่อแล้วเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น แต่ความจริงแล้ว สิ่งที่เห็นอาจ ไม่ใช่แค่พฤติกรรม แต่อาจเป็น “สัญญาณ” ว่าสมองบางด้านของลูกยังพัฒนาไม่เต็มที่

เด็กไม่ได้ดื้อ… แต่อาจมีบางระบบในสมองที่ยังไม่แข็งแรง

ตัวอย่างเช่น…

  • ระบบการฟังช้ากว่าปกติ ทำให้ฟังคำสั่งไม่ทัน จึงดูเหมือน “ไม่เชื่อฟัง”
  • ระบบความจำระยะสั้นไม่ดี ทำให้ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งที่ทำได้นาน
  • ขาดทักษะการวางแผนและการควบคุมตนเอง เพราะสมองส่วนประมวลผลยังพัฒนาไม่เต็มที่

พฤติกรรมที่เห็นจึงไม่ใช่ปัญหาเสมอไป  แต่มันคือ “ข้อมูล” ที่บอกว่าสมองลูกยังต้องการการเสริมสร้างบางด้านเท่านั้น

เข้าใจลูกให้ลึกกว่าที่ตาเห็น ด้วย Gibson Test

Gibson Test คือแบบทดสอบทางสมอง Cognitive  จากสหรัฐอเมริกา ออกแบบโดยทีมนักวิทยาศาสตร์ เพื่อวัด การทำงานของสมองใน 7 ด้านหลัก ได้แก่

  • ความจำ
  • สมาธิ
  • การฟัง
  • การมองเห็น
  • ความเร็วในการประมวลผล
  • การคิดวิเคราะห์
  • ทักษะในการจัดระบบข้อมูล

Gibson Test ไม่ใช่แบบทดสอบที่จะวินิจฉัยได้ว่าลูกเป็นสมาธิสั้นหรือไม่ แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้พ่อแม่เข้าใจว่า สมองลูกทำงานในแต่ละด้านเป็นอย่างไร จุดแข็งอยู่ตรงไหน และจุดไหนที่ยังควรเสริมสร้างเพิ่มเติม เพราะเด็กแต่ละคนมีศักยภาพต่างกัน ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร แต่การเข้าใจ “สมอง” จะช่วยให้พ่อแม่พัฒนาเขาในแบบที่เขาเป็นได้ดีที่สุด

Gibson Test_CTA

สรุป

จริงอยู่ว่าโทรศัพท์มือถือหรือหน้าจอต่าง ๆ ไม่ได้เป็นต้นเหตุโดยตรงของภาวะสมาธิสั้นในเด็ก แต่การใช้อย่างไม่เหมาะสมอาจส่งผลต่อพฤติกรรมและพัฒนาการของลูกได้ เด็กที่ดูซนหรือไม่อยู่กับที่ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นสมาธิสั้นเสมอไป พ่อแม่จึงควรเรียนรู้ที่จะสังเกต แยกแยะ และปรับพฤติกรรมให้เหมาะสมกับพื้นฐานของลูกแต่ละคน ที่สำคัญคือการเลือกใช้หน้าจอหรือเทคโนโลยีให้เหมาะสมตามวัย เพราะนอกจากจะช่วยให้ลูกเติบโตอย่างสมวัยแล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงของพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ในระยะยาวอีกด้วย

This will close in 0 seconds